วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

      สวัสดีจ้าสำหรับคนที่หลงเข้ามาอ่าน   วันนี้ได้นำความรู้ที่หาจากในในอินเตอร์เน็ต 
วิธีการจดเลคเชอร์แบบมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์หรือ“Cornell Note Taking Method” 

เรื่อง  การจดเลคเชอร์แบบ Cornell
ผู้เขียน  อาจารย์ประสาท มีแต้ม  คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์



 คุณรู้ไหม คนเราสามารถคิดได้เร็วกว่าที่อาจารย์พูดถึงสี่เท่าตัว        ดังนั้น เราสามารถฟังและจดโน้ตดี ๆ ได้

1. คำนำ
                ในแต่ละปีผมพบว่า นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง (ซึ่งยังสด ๆ และมองชีวิตในมหาวิทยาลัยแบบสดใสอยู่) จำนวนมากใช้วิธีจดเลคเชอร์ของแต่ละวิชาลงในสมุดเล่มเดียวกัน เมื่อสอบถามได้ความว่า ค่อยไปลอกและทั้งปรับปรุงแก้ไขลงในสมุดของแต่ละวิชาในภายหลัง ผมได้ตั้งคำถามเชิงแนะนำนักศึกษาไปว่า
มันจะเป็นการเสียเวลาเกินความจำเป็นไปไหม? ทำไมไม่ลองอีกวิธีหนึ่งซึ่งเปิดโอกาสให้เราสามารถปรับปรุงเนื้อหาได้ดีกว่าโดยไม่ต้องลอกใหม่และเสียเวลาน้อยกว่า
               วิธีที่ว่านี้คือ วิธีการจดเลคเชอร์แบบมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell Note Taking Method) ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ของบทความนี้ แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงอย่างชนิดที่สามารถนำไปปฏิบัติใช้งานได้ ผมขออนุญาตชี้ให้เห็นปัญหาของการจดเล็คเชอร์ของนักศึกษาไทยก่อน

2. ปัญหาการจดเลคเชอร์
              

           ผมเองเรียนและสอนทางสาขาคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นสาขาที่มีปัญหาในการจดเลคเชอร์น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับสาขาอื่น ๆ เพราะอาจารย์คณิตศาสตร์ (ทั่วโลก)จะเขียนเกือบทุกตัวอักษรลงบนกระดานในขณะที่สาขาอื่น ๆ อาจารย์นิยมพูดเป็นส่วนใหญ่ ในการสอนวิชาคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เป็นนิยาม ทฤษฎีบท หากเนื้อหาผิดพลาดไปแม้เพียงคำเดียวก็จะกลายเป็นความผิดพลาดที่ไม่อาจยอมรับกันได้ อาจารย์จึงต้องเขียนทุกคำบนกระดาน นอกจากนี้ในระหว่างการ ทำโจทย์ ยังต้องการแสดงให้เห็นถึงวิธีการคิด วิธีการทำอีกต่างหาก
                   อย่างไรก็ตาม ในวิชาที่ผมสอนเอง บางครั้งมีบางเนื้อหาที่ไม่จำเป็นต้องจดลงบนกระดาน เช่น การเปรียบเทียบว่าวิธีที่หนึ่งดีกว่าวิธีที่สองอย่างไร นักศึกษาก็จดบันทึกไม่ถูก หรือไม่จดเลย เป็นต้น


 
        ผมถามอาจารย์รุ่นใหม่ว่า เคยมีการสอนวิธีการจดเลคเชอร์ในช่วงที่คุณเป็นนักศึกษาบ้างไหม
              คำตอบที่ได้คือไม่มีครับ หากใครจดเลคเชอร์ได้ดีก็เป็นเพราะความสามารถเฉพาะตัว ไม่ใช่เพราะโดยการเรียนการสอนจากสถาบันการศึกษาผมเองก็ไม่เคยเรียนเรื่องเทคนิคการจดเลคเชอร์มาก่อนเช่นเดียวกัน เพิ่งจะได้เรียนรู้ก็ตอนที่โลกเรามีอินเตอร์เนตใช้นี่เอง ขอบคุณอินเตอร์เนตที่เปิดโอกาสให้เราได้ ท่องโลก เพื่อการเรียนรู้และนำมาถ่ายทอดต่อในที่นี้
              อนึ่ง การที่เราจะจดเลคเชอร์ได้ดีหรือไม่ นอกจากจะต้องมีเทคนิควิธีการที่จะกล่าวถึงแล้ว ยังขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการฟัง การมีสมาธิและการจับประเด็น ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และใหญ่มาก ๆ สำหรับสังคมนักศึกษาไทยเราในวันนี้ รวมทั้งในสังคมของผู้ใหญ่ด้วย

นักศึกษาบางคนไม่ยอมจดเลคเชอร์ โดยอ้างว่า
              ต้องการฟังให้ได้มากที่สุดและทำความเข้าใจเนื้อหาไปเลย แล้วค่อยขอยืมของเพื่อนไปถ่ายเอกสาร
เรื่องนี้นักการศึกษาบางคนถึงกับเตือนว่า
              การจดเลคเชอร์และการทำโน้ตย่อขณะอ่านหนังสือ ไม่ใช่เป็นกิจกรรมที่เราชอบแล้วจึงลงมือทำ แต่เป็น     กิจกรรมที่ต้องทำ
 
                  การจดเล็คเชอร์เป็นการบังคับตัวเราเองให้ฟังอย่างตั้งใจ ไม่เผลอหลับเพราะมีการเคลื่อนไหวทั้งมือและสมอง เมื่อกลับไปเปิดเลคเชอร์โน้ตในภายหลัง เราจะพบว่ามันคือเข็มทิศที่นำเราไปสู่การค้นคว้าเพิ่มเติมจากตำราต่อไป นอกจากนี้ โน้ตของเราจะทำให้จำได้ง่ายกว่าตำรา
                   โดยสรุป
                 การจดเลคเชอร์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักเรียนและนักศึกษาทุกคน แต่จะทำอย่างไรให้ได้ดี คำตอบคือต้องฝึกหัดเหมือนกับที่เราหัดเดินตอนเป็นทารก การจดเลคเชอร์ที่ดีจะส่งผลให้การเรียนของเราดีและได้เกรดดีขึ้น ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง

3. การจดเล็คเชอร์แบบมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์
                   วิธีนี้ได้คิดค้นโดย Dr. Walter Pauk  ผู้ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ทางการศึกษาของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์และได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์การอ่านและการศึกษา(Cornell University's reading and study center)ของมหาวิทยาลัย
                   เป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในสาขาพัฒนาการศึกษาและทักษะการเรียนรู้ และเป็นผู้เขียนหนังสือชื่อ How To Study In College ซึ่งเป็นหนังสือที่ถูกจัดเป็นประเภทที่ขายดีที่สุด มหาวิทยาลัยที่ผมทำงานอยู่และคิดว่ารวมถึงมหาวิทยาลัยแห่งอื่นด้วย ไม่มี ศูนย์หรือ สถาบัน ในลักษณะที่ช่วยพัฒนานักศึกษาเช่นนี้ แต่มีศูนย์ทางด้านธุรกิจและอื่น ๆ มากมาย
                  วิธีการจดเลคเชอร์ มีหลายวิธี แต่ Wikepedia จัดว่าวิธีที่จะกล่าวถึงนี้เป็นวิธีที่มีการใช้กันแพร่หลายมาก โดยมี วิธีการดังต่อไปนี้

ขั้นที่ 1 การจัดแบ่งหน้ากระดาษ
                 ให้แบ่งหน้ากระดาษออกเป็น 2 คอลัมน์
                       ถ้าเป็นกระดาษขนาด A4 (ขนาด 8.5x11 นิ้ว)
                       คอลัมน์ซ้ายมือกว้าง 2 นิ้วครึ่ง
                      ส่วนที่เหลือเป็นคอลัมน์ขวามือกว้างประมาณ 6 นิ้ว
                      ถ้าเป็นกระดาษสมุดก็ปรับตามความเหมาะสม
                      แต่คอลัมน์ทางซ้ายมือไม่ควรจะกว้างน้อยกว่า2.25 นิ้ว
                      เพราะจะต้องใช้พื้นที่ส่วนนี้เขียนข้อความสำคัญในภายหลัง
                      เว้นด้านล่างของกระดาษไว้ประมาณ 2 นิ้ว ไว้สำหรับเขียนสรุปหลังจากได้ทบทวนแล้ว ดังรูป




                              






หมายเหตุ   คำว่า Cue ในที่นี้ หมายถึง สัญญาณหรือคำที่ช่วยเตือนความจำ ช่วยให้เราทำกิจกรรมอื่น
                  ต่อไป ภาพข้างล่างนี้จะช่วยขยายความถึงการใช้หน้ากระดาษ (ซึ่งจะอธิบายต่อไป)

รูปที่ 2







ขั้นที่ 2คำแนะนำทั่วไป
                      ถ้าใช้กระดาษขนาด A4 ควรเขียน วันที่ รายวิชา และเลขหน้าไว้บนหัวกระดาษ
      เพราะเหมาะสำหรับการนำไปรวมกันเป็นแฟ้มของแต่ละวิชาได้สะดวก เช่น 2 มิ.. 53 คณิตศาสตร์ 101 หน้า 1
                 
                  นักศึกษาควรเข้าห้องเรียนก่อนเวลาเล็กน้อย เพราะโดยปกติ ในช่วง 5นาทีแรกอาจารย์มักจะแนะนำ  
สาระสำคัญของเนื้อหาที่จะบรรยายในคาบนี้ รวมทั้งความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับเนื้อหาเดิม การที่เราได้รับทราบแนวของเนื้อหาก่อนจะทำให้เราสามารถเข้าใจสิ่งที่จะได้ฟังง่ายขึ้น
                    ควรอ่านเอกสารล่วงหน้า (ถ้าเป็นไปได้) และ
                    ควรมีปากกาและดินสอหลายสี หากสามารถพกกล่องปากกาติดตัวได้ก็ยิ่งเป็นการดี   นักศึกษาชายใส่ในย่าม นักศึกษาหญิงใส่ที่เดียวกับเครื่องสำอาง(!)

ขั้นที่ 3 การฟังและจดเลคเชอร์
- จดเนื้อหาสำคัญลงในคอลัมน์ขวามือ (Note Taking Area) ในชั่วโมงบรรยาย
- อย่าจดทุกคำ เลือกเฉพาะที่ประเด็นสำคัญ พร้อมเหตุผลสนับสนุน ถ้าจดละเอียดมากเกินไปจะทำให้เป็นนักฟังแย่ลงและจดไม่ทัน
- อย่าเขียนให้เป็นประโยค ถ้าสามารถใช้วลีได้ และอย่าเขียนเป็นวลี ถ้าสามารถเขียนเป็นคำเดียวโดด ๆ ได้
- พยายามใช้ตัวย่อ สัญลักษณ์ ลูกศร เช่น ใช้ “&”แทน และ”, "~" แทน "ประมาณ"
- หากจับประเด็นไม่ได้หรือจับไม่ทัน ควรเว้นกระดาษพร้อมทำเครื่องหมาย ?เพื่อถามเพื่อนหรือค้นเพิ่มเติมภายหลัง อย่าเสียดายกระดาษ ความรู้มีค่ามากกว่ากระดาษ
- พยายามตั้งใจฟังประโยคสำคัญ ๆ เช่น เรื่องนี้มีเหตุผล 3ประการคือหรือฟังการย้ำ การเน้นเสียงของอาจารย์

ขั้นที่ 4 การทบทวนและทำให้เลคเชอร์โน้ตกระชับ
- หลังจากจดเลคเชอร์มาแล้ว (เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้) ให้อ่านที่จดมาได้ ไม่ใช่ศึกษาเพื่อทำความเข้าใจ แต่เพื่อตรวจสอบความถูกต้องกับตำรา ถ้าพบที่ผิดก็แก้ไข ปรับปรุง
- ทบทวนและทำเนื้อหาให้กระชับและสั้นลง โดยเขียน
                    ประเด็นสำคัญ (Main ideas) คำถาม
                    แผนผัง
                    สัญญาณเตือนความจำลงในคอลัมน์ซ้ายมือ (Cue Column)
                    เขียนเมื่อได้ทบทวนเนื้อหาแล้ว ถ้าสามารถทบทวนได้ภายใน 24 - 48 ชั่วโมงหลังจากการฟังคำบรรยาย เรายังคงจำเนื้อเรื่องได้ถึง 80%ถ้าเลยเวลานี้ไปเราจะลืมไปแล้ว 80% นั่นหมายความว่าเราต้องเสียเวลาเรียนใหม่เกือบทั้งหมด
- เขียนเฉพาะคำสำคัญ หรือวลี เพื่อสรุปประเด็นสำคัญ เขียนคำถามที่คาดว่าน่าจะเป็นข้อสอบ
ขั้นที่ 5 เขียนสรุปลงในส่วนที่สาม
                สรุปเนื้อหาสัก 1- 2 ประโยคด้วยภาษาของเราเองลงในส่วนที่ 3 ของกระดาษ โดยเขียนหลังจากที่เราได้ทบทวนและทำความเข้าใจบทเรียนแล้ว

4. สรุป ข้างล่างนี้คือตัวอย่างหนึ่งที่ได้ทำครบถ้วนทุกขั้นตอนแล้ว อาจจะช่วยให้เราเข้าใจดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอลัมน์แรก อย่างไรก็ตาม ถ้าเราไม่เริ่มต้นลงมือทำ เราก็ไม่มีวันที่จะเป็น ทุกอย่างต้องมีการฝึกฝนครับ







ที่มา:
การจดเลคเชอร์แบบ Cornell โดย อาจารย์ประสาท มีแต้ม จาก บล็อกประชาไท
Cornell Notes from Wikipedia (http://en.wikipedia.org/wiki/Cornell_Notes)
http://www.bellmore-merrick.k12.ny.us/calhoun/departments/science.html


ไม่มีความคิดเห็น: